Image by xb100 on Freepik
โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus
เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้งานฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างเพียงพอ ฮอร์โมนอินซูลินเป็นสารชีวเคมีที่สำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากขาดหรือไม่มีอินซูลินทำงานได้ดี น้ำตาลในเลือดจะสะสมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกายได้
โรคเบาหวานทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ:
- เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): เป็นโรคที่เกิดจากขาดอินซูลิน สาเหตุเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในส่วนที่มีเบาหวาน ผู้ป่วยต้องฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุเกิดจากความต้านทานต่ออินซูลินหรือการผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอ โรคชนิดนี้ส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น ความอ้วน พฤติกรรมทางชีวิตที่ไม่เหมาะสม และพันธุกรรม
- เบาหวานระยะในการตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes): เป็นโรคเบาหวานที่พบในบริเวณระยะการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนซึ่งกำเนิดจากการตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่ออินซูลิน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งแม่และลูก
นอกเหนือจากเบาหวานชนิดที่ 1, เบาหวานชนิดที่ 2 และเบาหวานระยะในการตั้งครรภ์ ยังมีโรคเบาหวานที่เกิดจากสาเหตุพิเศษอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมถึง:
- เบาหวานระยะเริ่มต้น (Prediabetes): เป็นสถานะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับของเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ที่มีเบาหวานระยะเริ่มต้นอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานในอนาคต
- เบาหวานที่เกิดจากสภาวะต้านทานอินซูลิน (Insulin Resistance): สภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นจากความอ้วน พฤติกรรมทางชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือปัจจัยพันธุกรรม
- เบาหวานที่เกิดจากการรับประทานยาหรือสารเคมี (Drug-Induced Diabetes): บางครั้งการใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิดอาจทำให้เกิดเบาหวาน รวมถึงสตีรอยด์ชนิดหนึ่ง ยาต้านจักรวาลที่เป็นกรดนิวคลีโอไตด์ (Niacin) และสตีรอยด์นิวคลีออไทด์
- เบาหวานที่เกิดจากภาวะการติดเชื้อ (Infection-Related Diabetes): บางครั้งการติดเชื้อเฉียบพลันหรือภาวะเครียดที่ร่างกายประสบ เป็นภาวะที่สัมพันธ์กับระบบสืบพันธุ์กันที่ผิดปกติในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเบาหวานชนิดที่ 2 หรือที่เรียกว่าเบาหวานเริ่มต้น (Type 2 Diabetes).
- เมื่อร่างกายประสบภาวะการติดเชื้อหรือเครียด ระบบสืบพันธุ์กันของร่างกายจะเกิดการปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติโซล (cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มการต้านทานของเนื้อเยื่อต่ออินซูลิน นอกจากนี้ เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะเครียด อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับน้ำตาลในเลือด และมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย
ในการรักษาเบาหวานที่เกิดจากภาวะการติดเชื้อหรือภาวะเครียด นี่คือบางขั้นตอนที่สามารถดำเนินการเพื่อควบคุมโรคและลดความเสี่ยง:
- รักษาภาวะการติดเชื้อหรือภาวะเครียด: การรักษาโดยใช้ยาประเภทอย่างไรก็ขึ้นกับสาเหตุของภาวะการติดเชื้อหรือภาวะเครียด เช่น ใช้ยาแก้ปวดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้ปวดเมื้อพร้อมด้วยการผ่อนคลายเพื่อลดความเครียด
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: อย่างไรก็ตามการรักษาเบาหวานที่เกิดจากภาวะการติดเชื้อหรือภาวะเครียดยังต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด โดยการทานอาหารที่มีปริมาณน้อยของน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต การออกกำลังกายเป็นประจำ และการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
- การดูแลสุขภาพโดยรวม: การดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาเบาหวาน ซึ่งประกอบด้วยการทานอาหารที่มีปริมาณเหมาะสม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การหยุดสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพในการจัดการเบาหวาน ดังนี้:
- ควบคุมอาหาร: รับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม และควรกระจายมื้ออาหารให้เป็นประจำตามแผนที่กำหนดโดยทีมโภชนาการ การควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
- การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรทำกิจกรรมทางกายภาพอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันหรือสะสมกิจกรรมทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง
- การควบคุมน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักเกินมาก การลดน้ำหนักอาจช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะการลดน้ำหนักจะช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินของร่างกาย
- การควบคุมความเครียด: หากภาวะเครียดมีอยู่ ควรมีการจัดการและลดระดับความเครียด โดยใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกโยคะ การทำความสะอาดใจ หรือการพักผ่อนอื่น ๆ
เช็คอาการของโรคเบื้องต้นด้วยตัวเอง
- ความกระหายน้ำมาก (Polyuria): มีการปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ รวมทั้งการปัสสาวะตลอดคืน
- ความหิวมากขึ้น (Polydipsia): รู้สึกกระหายน้ำมากและต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติ
- ความหิวมาก (Polyphagia): รู้สึกหิวและมีความอยากกินเพิ่มขึ้น
- น้ำหนักลดลง: ลดน้ำหนักโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเริ่มลดน้ำหนักโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
- อ่อนเพลียและหงุดหงิด: รู้สึกอ่อนเพลียและมีความผิดปกติในอารมณ์และพฤติกรรม
- บาดเจ็บหรือแผลที่ยากในการหายของผิวหนัง: บาดเจ็บหรือแผลที่ยากในการหายหรือหายช้า
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานต้องใช้การตรวจเลือดและตรวจค่าน้ำตาลในเลือดเพื่อระบุการเป็นโรคเบาหวานอย่างแน่นอน
สมุนไพรถั่งเช่า สมุนไพรที่มีผลวิจัยให้ศึกษา เป็นทางเลือกหนึ่ง คลิก
